เหลือไว้แต่ภาพจากคำบอกเล่า – บอกเหล้า

ผมเป็นหลานชายของพ่อใหญ่นวน และแม่ใหญ่จันทร์ ซึ่งเป็นชื่อที่มาของนานวนจันทร์ ผมเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มี พ่อ แม่ ตา ยาย และป้าๆ ซึ่งแม่ของผมเป็นลูกคนสุดท้อง จากลูกทั้งหมด 9 คน พ่อกับแม่ทำงานหนักมาก ส่วนใหญ่จึงเป็นตากับยายที่ดูแล
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้ว่าตานวนเคยทำเหล้าขายกับเสี่ยว(เพื่อนสนิท) พึ่งมารู้เมื่อเร็วๆ นี้ เพราะป้าเล่าให้ฟัง สมัยที่ป้ายังเป็นเด็กได้เคยไปแอบดูตานวนต้มเหล้า และโดนไล่ตะเพิดออกมา เพราะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งผิดบาป เป็นสิ่งที่เด็กไม่ควรเห็นไม่ควรดู แต่ก็ต้มเหล้ากันลับๆ สองคน และนำเหล้าที่กลั่นแล้วออกไปจำหน่ายให้กับคนในชุมชนที่เป็นขาประจำ
ตานวนและเพื่อนทำพื้นที่ต้มเหล้าในป่าที่ลับตาคน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม พื้นที่ต้มเหล้าเรียกว่า’โพนข่อย’ คือพื้นที่ที่เป็นเนินดินเล็กๆ ไม่กว้างมาก ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือผนังและหลังคา มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมหนาแน่นช่วยบังแดด และมีต้นข่อยซึ่งเป็นไม้พุ่มทำหน้าที่เป็นฉากพรางสายตาผู้คนจากภายนอก ตานวนใช้การขุดดินโพนให้มีรูด้านข้าง และด้านบนขนาดความกว้างพอที่จะตั้งหม้อกลั่นได้ และเสียบฟืนเข้าไปในโพรงดินด้านข้าง ใช้เป็นเตาไฟสำหรับตั้งหม้อกลั่น เรียกได้ว่าเป็นเตาไฟแบบธรรมชาติ และหม้อกลั่นก็ใช้เป็นปี๊บ ตั้งด้วยกะละมังหรือกระทะไม่แน่ใจ เจาะรูด้านข้างปี๊บและใช้ไม้ไผ่เป็นหลอดเสียบเข้าไป ปิดรอยต่อให้สนิท เพื่อใช้เป็นท่อส่งเหล้ากลั่น
ภาพเตาดินโบราณ จาก Youtube Chanel : เกษตรติดดิน และ ชาติบ้านสวน
ข้อมูลทั้งหมดได้จากคำบอกเล่าของป้าๆ เป็นความทรงจำในสมัยเด็กซึ่งนานมามากแล้ว และเล่าให้ฟังต่อว่า ในสมัยนั้นคนทำเหล้าเยอะมาก เพราะคนส่วนใหญ่ทำนาปลูกข้าวและใช้ข้าวของตัวเองมาทำเหล้าเพื่อดื่มเองในครอบครัว ในหมู่เพื่อนฝูง ทำดื่มในเทศกาลงานบุญต่างๆ ซึ่งมีงานบุญประเพณีทุกเดือน จะเห็นได้ว่าเหล้าไม่สามารถแยกขาดออกจากคำว่าวัฒนธรรมประเพณีได้เลย ทั้งหมดนั้นต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ฟังดูก็เป็นเหตุเป็นผล แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐต้องออกมาตรการกวาดล้างสุราเถื่อนเข้มงวดขนาดนั้น
ป้าเล่าต่อว่าสมัยก่อน ถึงชาวบ้านจะแอบทำเหล้า ถึงเป็นความลับขนาดไหนก็ไม่คลาดสายตาเจ้าหน้าที่ ถึงขั้นออกตรวจตามท้องไร่ท้องนา ตามหมู่บ้านทุกซอกทุกมุม ถึงขั้นที่พ่อของผมต้องหอบไหเหล้าวิ่งหนีลงทุ่งนา เพราะมีตำรวจมาค้นหมู่บ้าน บ้างก็ถึงขั้นเอาเหล็กแหลบไปแทงเสียบเข้ากองฟางเผื่อมีใครแอบซ่อนเอาไว้ ถ้าแทงโดนไหแตกเจ้าตัวก็ต้องโดนปรับโดนจับเข้าคุก ถึงต่อให้ฝังดินเอาไว้ก็ไม่พ้นจมูกเจ้าหน้าที่

ภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ใช่เพียงการทำเหล้าให้มีรสชาติอร่อย แต่รวมถึงวิธีการหลบซ่อนเร้นจากสายตาเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย การทำสุราชุมชนในสมัยนั้นหากใครไม่เป็นโรงงานก็จะถูกตรีตราว่าเหล้าเถื่อน สุราชาวบ้านจึงค่อยๆ ถูกกวาดล้างหายไป ความกลัวการโดนจับเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งการพูดถึงยังไม่อยากจะพูด ชาวบ้านชาวนาก็ไม่ได้มีอำนาจต่อรองอะไร และไม่มีอะไรให้เสีย ยอมให้เจ้าหน้าที่จับเข้าคุกไปหลายราย ความกลัวจึงถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ จนถึงรุ่นเรา
พอมาถามไถ่ถึงได้ความ ในช่วงเวลาสมัยนั้นจนถึงตอนนี้ วัฒนธรรมภูมิปัญญาหล่นหายสาบสูญไปเสียเท่าไหร่แล้ว สูตรเหล้าตานวนก็ตายจากไปพร้อมกับตานวน เหลือเพียงเรื่องเล่า–เรื่องเหล้า จากความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้น ไม่มีบันทึกรายลักษณ์อักษรใดๆ แต่จะว่าไปเราก็เป็นหลานตานวน DNA พันธุกรรมเดียวกันอาจจะได้รับถ่ายทอดมาบ้าง ทำให้เรามีสัญชาตญาณว่าเราต้องทำเหล้า ก็เป็นได้